วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

Basic KZM 5

0097 : Basic KZM 5

http://value-visions.blogspot.com/search/label/KZM?updated-max=2013-02-04T05:10:00-08:00&max-results=20&start=12&by-date=false

สวัสดีครับ , 




วันนี้จะมาอัพ Blog ในเรื่องของ Basic KZM ต่อนะครับ

หลังจากเคยเขียนเรื่องกอง A , B ค้างไว้เมื่อนานมาแล้ว ฮ่าๆ

คราวนี้จะมาพูดถึงกอง C , D มั่งนะครับ



กอง C , D เนี่ย อย่างที่เคยบอกไว้ว่ามันคือกองกำลังหน่วยรบพิเศษ

ใช้จู่โจมและรบแบบกองโจร โดยใช้ Skill Trade ทาง Technical



A , B เปรียบเหมือน ศาสตร์ของ Money Manangment

ส่วน C , D ก็จะเป็นเด็กศิลป์ เข้า-ออก ตาม Buy-Sell Signal

โดย D ก็จะเข้าเทรดพร้อม C ( เหมือนกอง B ที่เข้าพร้อม A นั่นเอง )

โดย Signal ในการเข้าซื้อของ C , D เนี่ย ไม่จำกัดครับว่าเราจะใช้เทคนิคอะไร

เอาที่เราถนัดก็แล้วกันนะครับ บางคนอาจจะชอบ Moving Average CrossOver

หรือบางคนอาจจะใช้ MACD RSI ก็ตามสบายครับ

หรือว่าจะใช้การเทรดแบบ Multiple Indicator ก็ได้ไม่ว่ากันครับ

เพราะเราแบ่งกอง C , D เป็น Lot เล็กๆอยู่แล้ว

สัญญาณแต่ละแบบมันมาไม่พร้อมกัน

Moving อาจจะมาก่อน แล้วตามด้วย MACD ก็เข้าไปอย่างละ Lot

แบบนี้ก็ได้ครับ หรือจะใช้แบบ Multiple Timeframe ก็ได้ครับ

ตรงนี้แล้วแต่เราจะสร้างสรรค์ระบบขึ้นมาครับ



ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างการเทรดกอง C , D ของผมนะครับ

ผมยกเป็นตัวอย่างเฉยๆนะครับ อย่าเลียนแบบเลย

เพราะผมว่า คุณทำได้ดีกว่าผมอีก เรื่องเทคนิคเคิลเนี่ย

ผมจัดว่ามึนสุดๆแล้ว กราฟเกริฟ แนวรับแนวต้านอะไรลากไม่ค่อยจะเป็นหร๊อก

ผมจะใช้ Technic 2 แบบ ก็คือ Moving Average Crossover และ P/L Indicators

แบบแรกก็คือใช้แบบ Multiple Timeframe

Moving 5 ตัด 10 , 5 ตัด 20 , 3 ตัด 18 ประมาณนี้ครับ

เวลาเราเข้าเราก็เข้าตรงจุดที่ 

5 ตัด 10 Buy 1 Lot

5 ตัด 20 Buy 1 Lot 

3 ตัด 18 Buy 1 Lot

หรือแล้วแต่ Timeframe ที่เรากำหนดไว้ครับ

แต่เวลาเข้าด้วย Timeframe ไหนก็ต้องจดไว้ทุกครั้งครับ

ว่า Lot นี้เราเข้าด้วย Timeframe อะไร จะ Exit เมื่อไหร่

การใช้ Technical แน่นอนครับว่าต้องมี Error กันบ้าง

ถ้าเจอ Error ติดดอยก็ปล่อยมันไปครับ Lot เล็กๆ ติดบ้างจะเป็นไรไป

อย่าลืมนะว่า KZM ไม่มี Cut loss เน้อ



ซึ่งการเทรดแบบ Moving Average CrossOver หรืออาจจะ Indy อื่นๆ

ผมจะใช้เป็น Offline trade ครับ คือ จะตัดสินใจซื้อขายในเวลาตลาดปิดทำการ

เพื่อพัฒนา skill trade ของผมครับ เห็นเมื่อก่อน Trainee Trader MudleyGroup รุ่นแรกๆ 

เค้าฝึกกันแบบนี้เลยฝึกมั่ง แหะๆ การฝึกแบบ Offline เหมือนการที่เราเล่น Poker

แล้วเรารู้ไพ่ในมือเรา กับไพ่บนโต๊ะอีก 3 ใน

มันอยู่ที่เราเลือกว่าเราจะ หมอบ จะ Bet หรือจะ Check

กับตลาดก็คือเรารู้ข้อมูลต่างๆ เห็นกราฟ เห็นข่าว

อยู่ที่เราเลือกเช่นกันว่าเราจะเล่นไหม หรือ Wait & See ยังไงต่อไป

ผมก็เลยใช้ตรงนี้เพื่อฝึก skill trade ของผมครับ



การเทรดอีกแบบ ผมเอาไว้ใช้เมื่อมีโอกาสดูจอ

เป็นการเทรดแบบ Online นั่นเอง

โดยผมเลือกใช้วิชา P/L indicators ที่พี่ต้านเคยสอนไว้ใน Blog และ Pantip

โดยจะเข้าซื้อจากสัญญาณราคา เช่น

ราคาเปิดอยู่ที่ 10.00 บาท

แล้วกระพริบมาที่ 10.01 บาท – Buy Signal 1

ต่อมาที่ 10.02 บาท – Buy Signal 2

10.03 – Buy Signal 3

แล้วก็เขียวมาเรื่อยๆอาจจะมาอยู่ที่ 10.10 – Buy Signal 10

จากนั้นหุ้นไม่เขียวต่อ ลงมาที่ 10.09 – ตรงนี้ถ้าเป็นพี่ต้านจะบอกให้ขายทำกำไรหมดเลย

แต่ผมขอใช้เป็นจุด Wait & See ก่อน

ของผมจะรอให้มาลงมาที่ 10.08 ก่อนผมค่อยเทหมดทุกไม้ครับ

ตรงนี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะออกแบบยังไงนะครับ



นี่คือการเทรดกอง C คร่าวๆของผมนะครับ

ส่วน กอง D นั้น ให้เราพยายามหาจังหวะออกให้ได้ภายในวันครับ

แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร วันต่อๆไปก็หาจังหวะใหม่ก็ได้



จะเห็นได้ว่ากอง C , D นั้นเราค่อนข้างจะมีอิสระให้การออกแบบการเทรดครับ

พี่ต้านบอกไว้ประมาณว่า พอร์ตจะโตเร็วโตช้า 

อยู่ที่ใครใช้ C , D ได้มีประสิทธิภาพกว่ากัน

ยังไงก็ควรให้ความสำคัญกับมันเยอะๆหน่อยนะครับ

เพราะถ้าเราสร้าง Cash Flow จาก C , D ได้บ่อยๆ

A , B เราก็จะแข็งแกร่งและยึดครองพื้นที่ได้เร็วขึ้นครับ



อีกเรื่องนึงก็คือ ให้เรามอง C , D แต่ละ Lot เหมือนกระสุน 1 นัดครับ

เราต้องดูด้วยว่าเราใช้กระสุนมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด

แต่ละนัดที่เรายิงออกไปนั้นมัน โดน หรือไม่

ถ้ายิงโดนบ่อยๆก็คงจะดี แต่ถ้ายิงออกไปเยอะๆ แล้วไม่โดน ( ยิงไปติดดอย )

อันนี้ก็ต้องดูว่า เรายิงพลาดเพราะอะไร



และที่สำคัญอีกอย่างนึงคือต้องไม่ Overtrade ครับ





อ้อ มีการใช้ C , D อีกแบบนึงนะครับ

นั่นคือการเล่นแบบ Zone Extra ครับ

การเล่นแบบ Zone Extra ก็ไม่มีอะไรมากครับ

คือหากเราเจอช่วงที่หุ้นลงแรงๆ ลงแรงจนหุ้นหลุดกรอบล่างของ กอง A

อาจจะหลุดไปเยอะมากๆ ถ้าเราเหลือกระสุนใน C , D

ก็สามารถเอามาเล่นเป็น A , B แทนได้ครับ

แต่ต้องกำหนดกรอบ และแบ่งโซนให้ดีๆนะครับ

เพราะ Zone Extra ที่เราเอา C , D มาเล่น นั้นเป็นเหมือนท่าไม้ตายของเราแล้ว

ต้องหวังผลชัวร์ๆเท่านั้นครับ ซึ่งถ้าเราไม่เทรดแบบยิงทิ้งยิงขว้าง

หากเจอขาลงแรงๆ สัญญาณเทคนิคคงเจอแต่ Sell Signal

เราคงไม่ได้ใช้กอง C , D เท่าไหร่ ซึ่งก็คงเหลือไว้เล่น Extra ครับ





วันนี้ก็ขอแชร์เท่านี้ก่อนนะครับ

แล้วพบกันใหม่นะครับ : )

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Basic KZM 4 จาก value-visions.blogspot.com

http://value-visions.blogspot.com/2012/12/0107-basic-kzm-4.html

เซฟไว้เผื่อเข้าไปอ่านไม่ได้ครับ

0084 : Basic KZM 4



KZM ที่ผมเทรดอยู่ตอนนี้นั้นเป็นเพียง KZM Level 1 เท่านั้นครับ
พี่ Mudley แกเคยเกริ่นเอาไว้ว่า KZM นั้นมีถึง 5 Level ด้วยกันครับ

โดยแบ่งเป็นแต่ละ Level ดังนี้ครับ

Level 1 : Zone Trading เทรดตามโซนและสะสม Unit จนครบทุกโซนจากกระแสเงินสด
Level 2 : Virus Trading คือการแบ่งกำไรจากกระแสเงินมาซื้อหุ้นแล้วเทรดตามโซน
ดึงกระแสเงินสดเข้ากระเป๋า จะหุ้นพื้นฐานหรือหุ้นปั่นก็ได้ แต่ต้องแน่ใจว่า บ.ไม่เจ๊งง่ายๆ
Level 3 : TDEX & Option เทรด TDEX คู่กับ Option สร้างกระแสเงินสดได้ทั้งสองทาง
ตรงนี้ผมเรียนได้นิดหน่อย เรื่องของการ Short Option + TDEX ครับ
แต่ลูกเล่นอื่นยังหาเรียนไม่ได้ครับ
Level 4 : ลุยตลาด Future ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นยังไง พี่ต้านแกยังไม่เคยพูดถึง
Level 5 : บุกตลาด ตปท. ยังไม่มีการพูดถึงเช่นกันครับ


โดยทั้ง 5 Level นั้นต่างก็เริ่มต้นจาก Level 1 ทั้งหมดครับ
Level 1 Zone Trading นั้นเป็นเหมือน Base Line ของการเทรดครับ
เป็นทั้งการฝึก Skill , mental , money management
รวมถึงการที่ Zone Trading นั้นสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ
ทำให้พอร์ตเราแข็งแกร่ง ไม่ตามง่ายๆนั่นเองครับ
คือ สมมุติว่าเราอาจจะพลาดเทรด Future ในส่วนของ Level 4 เจ๊ง
แต่พอร์ตเราก็ยังไม่กระทบ เพราะเราแบ่งเอากำไรจากกระแสเงินสดใน Level 1
มาเทรดนั่นเองครับ ซึ่งกำไรที่มาจาก Cash Flow เราก็สามารถ Generate
ขึ้นมาใหม่ในทุกๆวันอยู่แล้ว เพราะในกรณีที่เรามี unit ในทุกช่อง ทุกโซน
หากราคาขยับแค่ 1 ช่อง เราก็สามารถจะ Generate Cash Flow ได้ทันที
นั่นเป็นเหตุที่เราควรทำให้ Level 1 ของเราเป็นฐานที่แน่นสุดๆ
เพราะมันถือว่าเป็นจุดสำคัญที่สุดของพอร์ตเราเลยทีเดียวครับ

Basic KZM 3 จาก value-visions.blogspot.com

http://value-visions.blogspot.com/2012/12/0102-basic-kzm-3.html

เซฟไว้อ่านเผื่อ เจ้าของ blog ล็อคไม่ให้อ่านครับ

0079 : Basic KZM 3



วันนี้ผมจะมาต่อเรื่องกอง B ครับ


หลังจากดองไว้ซะนาน แหะๆ

กอง B ที่เราเรียกเล่นๆว่า หน่วยรบคุ้มกันกอง A

เอาจริงมันก็คือกองกำลังที่มีไว้ป้องกันกอง A นั่นเองครับ

ป้องกันอย่างไร ป้องกันโดยการเข้าออกให้ไว

เพื่อเอากำไรมาลดต้นทุนให้กอง A นั่นเองครับ

แต่เราจะเน้นออกในวันเพื่อฝึก skill Day Trade ของเราไปด้วยครับ



ยกตัวอย่างง่ายๆเลยนะครับ สมมุติว่า…

เราเข้าซื้อหุ้นที่ 10 บาท โดยเข้าซื้อทั้งกอง A และ กอง B พร้อมกัน

จำนวนกองละ 100 หุ้น รวม 200 หุ้น เราจะมีหุ้นดังนี้

กอง A 100 หุ้น ที่ราคา 10 บาท รวมมูลค่า 1,000 บาท

กอง B 100 หุ้น ที่ราคา 10 บาท รวมมูลค่า 1,000 บาท

จากนั้นในระหว่างวันหุ้นอาจจะแกว่งขึ้นบ้างลงบ้าง

กอง B มีหน้าที่ของมันก็คือ หากว่าราคาหุ้นแกว่งขึ้นไปพอมีกำไร

จะมากจะน้อยก็แล้วแต่เรา ให้เราขายออกมาในราคาที่เราพอใจครับ

อาจจะขึ้นไป 10.2 หรือ 10.5 ก็แล้วแต่เราจะขายเลยครับ

ทีนี้ สมมุติเราขายกอง B ที่ 10.2

เราก็จะมีกำไรจากการขายกอง B 0.2 x 100 หุ้น = 20 บาท

ซึ่งเราจะเรียกกำไร 20 บาทนี้ว่า “กระแสเงินสด หรือ Cash Flow” ครับ

คำว่า Cash Flow นี้จำไว้ให้ดีนะครับ เพราะเราต้องอยู่กับมันตลอด อิอิ

จากนั้นให้เอากำไรมาหักกับต้นทุนกอง A

กอง A เราก็จะมีต้นทุน = 980 บาท

คิดแล้วตก 9.8 บาทต่อหุ้น พอทุนต่ำลง พอร์ตเราก็จะปลอดภัยขึ้นครับ : )



แต่ไอ่ 20 บาทที่ได้มานั้น ไม่ได้ให้เอาไปกินหนมนะครับ

แต่เราจะสะสมไว้เพื่อขยายโซน สะสมหุ้นจากกระแสเงินสดต่อไปเรื่อยๆครับ

ลองคิดดูว่า 20 บาทหลายๆครั้งก็กลายเป็นร้อยเป็นพันได้นะครับ

นี่คือกอง B แบบ Basic นะครับ





ขยับขึ้นมาอีกหน่อยก็คือ การเทรดกอง B แบบ ฤทธิ์มีดสั้น ( ผมบ้า ลี้ คิม ฮวง น่ะครับ หุหุ )

ซึ่งการเทรดแบบ ฤทธิ์มีดสั้น นั้นเริ่มมาจาก

พอกอง B คุ้มกันกอง A เสร็จเรียบร้อยแบบที่เล่าให้ฟังข้างบนแล้วเนี่ย

มันก็จะว่าง รอกอง A เข้าต่อสู้ ถ้า A ยังรบไม่เสร็จ ( ยังขายไม่ออก )

B ก็ไม่มีอะไรจะทำ ผมก็เลยเกิดไอเดียให้กอง B กลายเป็นหน่วยรบพิเศษกินิว เอ๊ย

หน่วยรบพิเศษ เน้นรุกเร็ว จบเร็วเช่นที่มันเคยทำมา

โดยสมมุติเมื่อกี้เรารับ B มาที่ 10 จ บาท ปล่อยไปที่ 10.20

ส่วน A นั้นอาจจะรอปล่อย 11 อะไรก็แล้วแต่ ทำให้เงินสดส่วนของ B ยังว่างอยู่

ทีนี้พอราคาแกว่งลงมาจาก 10.20 มาที่ 10 บาทอีกรอบ

ถามว่าเราจะทำอย่างไร… ก็ซื้อ B อีกรอบสิครับ!

ซื้อแล้วก็เอามาปล่อยที่ 10.20 อีกรอบ มันจะเป็นไรไป

หรือว่าถ้ารับได้ต่ำกว่า 10 บาท ก็ยิ่งดี

นี่ก็คือการทำกำไรในกอง B ของผมอีกวิธีหนึ่งครับ



สรุป การเทรดกอง B นะครับ

1. เข้าพร้อมกอง A

2. ออกเมื่อมีกำไร เน้นออกภายในวันเพื่อฝึก skill Day Trade ของเรา

3. เมื่อออกแล้วก็สามารถหาจังหวะทำกำไรใหม่ได้อีกรอบ

4. เหมือนข้อ 3 ( ทำข้อ 3 ต่อไปเรื่อยๆ )



วันนี้มีนี้ครับ หากมีตรงไหนสงสัยก็สามารถถามได้เลยนะครับ

หรือถ้าเห็นว่าผมเข้าใจตรงไหนผิดไป ได้โปรดแนะนำผมด้วยนะค้าบบ

Basic KZM 2 จาก value-visions.blogspot.com

http://value-visions.blogspot.com/2012/10/0097-basic-kzm-2.html

เซฟไว้เผื่อล็อคกระทู้จะทำให้เข้าไปอ่านไม่ได้ครับ

0074 : Basic KZM 2


เมื่อคราวที่แล้วผมพูดถึง Concept คร่าวๆของการเทรดแบบ KZM ไปแล้วนะครับ
คราวนี้ผมจะมาต่อในเรื่องของ " กอง A "  ซึ่งถือเป็นกองกำลังหลักของโมเดลครับ
กอง A อย่างที่บอกเอาไว้ในคราวที่แล้วว่า
กอง A มีหน้าที่ เป็นกองกำลังหลัก โดยจะรบแบบยึดครองพื้นที่ ( Zone Trading )
และก็มีหน้าที่อีอย่างก็คือ เพื่อให้เราได้ฝึก " วินัย " ในการเทรดนั่นเอง

เริ่มแรกในการ Set กอง A นะครับ
เริ่มจากการที่เราต้องรู้ก่อนว่า เรามีงบประมาณในการรบเท่าไหร่ ?
เอ๊ะ หลายคนอาจจะงงว่า งบประมาณในการรบอะไรของแก ?
งบประมาณในการรบ ก็คือ เงินในหน้าตักของเรานั่นเองครับ

สมมุติว่าเรามีเงิน 100,000 บาท
ถ้าเอามาเทรดแบบ KZM ก็จะแบ่งเงินก้อนนี้เป็น 4 ส่วน สำหรับกองกำลัง 4 กองของเรา
ก็ตกอยู่ กองละ 25,000 บาทครับ

25,000 บาท นั่นคืองบประมาณการรบของแต่ละกองนั่นเองครับ

ที่นี้เราก็เอา จำนวนเงิน 25,000 บาท
มาคำนวนดูว่า จากจุดที่ราคาหุ้นต่ำสุดไปหาสูงสุด
เราจะเอาเงิน 25,000 นี้มาเล่นอย่างไร ให้เล่นได้ตลอด
ไม่มีเงินหมดหน้าตัก ไม่มีหุ้นหมดมือ
เทรดสร้างระแสเงินสดแฝงไปอีกนานเท่านาน

เราก็แบ่งโซนสิครับ
จากราคาหุ้นตั้งแต่จุดที่เราคิดว่าต่ำที่สุด ไปหาสูงที่สุด
25,000 บาทนี้ จะซื้อหุ้นได้ทั้งหมดกี่ไม้

สมมุติได้ 100 ไม้
เราก็จะแบ่งโซนที่ราคาต่ำสุดไปจนถึงโซนสูงสุด ดังนี้ครับ
ราคา 1.01 - 1.05 บาท เราก็จะเรียกโซนนี้ว่าโซน A1
ราคา 1.06 - 1.10 บาท คือ โซน A2
ราคา 1.11 - 1.15 บาท คือ โซน A3
...ไปเรื่อยๆจนถึงช่วงราคาที่เราคิดว่าสูงสุด
( เผื่อไว้สำหรับ New High ที่เราคาดไม่ถึงสักนิดก็ได้นะครับ )

ที่ต้องแบ่งโซนก็เพื่อเป็นการเทรดแบบค่อยๆยึดครองพื้นที่ไปทีละส่วน
โดยไม่เสี่ยงครับ เรียกว่ามี Money Management นั่นเอง
เสี่ยงทีละน้อย เข้าซื้อเป็น Unit ที่เล็กๆ เวลาเราคิดผิดเราจะไม่เจ็บตัวครับ
พอถูกขึ้นมาก็ค่อยซื้อเพิ่ม เสี่ยงเพิ่ม ยังไง จริงไหมครับ


ทีนี้เวลาเราเข้าซื้อ เราก็จะเข้าซื้อ " โซนละ 1 ไม้ " ก่อนครับ
เช่น สำหรับผม ผมมักจะกำหนดไว้ว่าผมจะจะซื้อแต่ไม้กลางโซน
คือ ที่ราคาที่ลงท้ายด้วย 3 กับ 8 เช่น
ซื้อที่ 1.03 จำนวน 100 หุ้น เป็นโซน A1
ซื้อที่ 1.08 จำนวน 100 หุ้น เป็นโซน A2
ไปเรื่อยๆครับ

แล้วพอเรารับหุ้นเข้าโซน ก็ต้องมีการ Generate CashFlow
สร้างกระแสเงินสด เพื่อเป็นรายได้ให้พอร์ตใช่ไหมครับ
เราจะ Generate CashFlow โดยการขายเมื่อข้ามโซนครับ
อย่าง A1 ผมซื้อที่ 1.03 บาท ผมก็จะไปปล่อยที่ 1.13 บาท ( ปล่อยเมื่อราคาหุ้นวิ่งข้ามไปโซน 3 )

แล้วพอตลาด Swing ลงมาที่ 1.03 อีกรอบ
ผมก็เก็บหุ้นเข้าโซน A1 ใหม่
ถ้าไปที่ 1.13 ผมก็ปล่อยไปเพื่อเก็บ CashFlow
หากเจอตลาด Sideway นานๆ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เดือดร้อนครับ


การเทรดแบบ KZM นั่น เราเริ่มต้นเทรดเมื่อไหร่ก็ได้
เพราะ ไม่ว่าหุ้นจะไปทางไหน เราก็มีแผนรับมือไว้หมดแล้ว

เช่น เราอาจจะเข้าในราคาที่สูงหน่อย
เอาสักราคา  1.88  ก็แล้วกัน โดยที่เราซื้อ 100 หุ้น
ถ้าลงไป 1.83 , 1.78 เราก็รับเพิ่มไม้ละ 100 หุ้น
หากมัน Swing ขึ้นก็เทรดตามโซนเบกระแสเงินสด
ต้นทุนของหุ้นในมือเราที่เหลือก็จะต่ำลงด้วยครับ

แล้วถ้าหุ้นลงมากๆ จนนิ่งแล้วเริ่มกลับตัว หรือ หุ้นทำท่าว่าจะวิ่ง
เราก็สามารถซื้อรวบโซนบนๆไว้ ในราคาต่ำ ก็ได้ครับ
เช่น ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.03 เราก็ซื้อ 1.03 รวบไว้เลย 10 ไม้
ก็เป็นจำนวน 1,000 หุ้น สำหรับเล่นในโซน A1 - A10 ได้เลยครับ
นี่ก็เป็นเทคนิคลูกเล่นอีกแบบของ KZM ครับ


แล้วพวกกระแสเงินสดที่เราทำได้จาก Zone Trading
พอได้มากๆเข้าเราก็จะเอามาขยายโซนครับ
เช่น A1 ปกติเราซื้อไม้ 100 หุ้นที่ 1.03
เราก็จะเอากระแสเงินสดมาซื้อเพิ่มที่ 1.02 หรือ 1.04 อีกไม้ละ 100 ก็ได้ครับ
ที่นี้พอเรามีหุ้นครบทุกช่องในโซน เช่น
1.01 ไม้ละ 100
1.02 ไม้ละ 100
1.03 ไม้ละ 100
1.04 ไม้ละ 100
...   เราแทบจะสร้างกระแสเงินสดได้ทุกวันเลยครับ
จากนั้นก็เอากระแสเงินสดที่ได้ มาเพิ่มจำนวนหุ้นในแต่ละช่อง
จาก 100 หุ้น ก็เพิ่มเป็น 200 , 300 , 400 , 1,000 , 10,000
ลองจินตนาการดูว่า CashFlow ที่ได้มันจะขนาดไหนกันครับ ?
เรียกได้ว่ากอง A จะกลายเป็นเครื่องปั้มเงินหลักของเราเลยทีเดียวครับ

 

กอง A เท่าที่นึกออกก็มีเท่านี้อยู่นะครับ
ถ้านึกอะไรออกก็จะมาเพิ่มเติมในตอนหน้าครับ
ตอนหน้าจะมาพูดถึง กอง B คู่ กองกำลังป้องกันกอง A ครับ

Basic KZM จาก value-visions.blogspot.com

http://value-visions.blogspot.com/2012/10/0096-basic-kzm.html

เซฟไว้ผื่อ กระทู้ล็อคไม่ให้เข้าอ่านครับ

0073 : Basic KZM



วันนี้ผมจะมาพูดถึงการเทรดแบบ KZM แบบ Basic นะครับ
ซึ่งเจ้าตำหรับการเทรดแบบนี้ก็คือพี่ต้าน Mudley Group นั่นเอง
ซึ่งผมเองก็อาศัยเรียนรู้จากสิ่งที่พี่ Mudley เค้าได้เผยแพร่ไว้
ตาม Pantip หรือใน Blog ของพี่เค้าครับ

การเทรด KZM นั้น หากเรามองผิวเผินอาจจะดูเหมือนยุ่งยาก
เพราะมีตั้ง 4 กอง แถมยังให้แบ่งการเข้าซื้อเป็น Unit ย่อยอีก
ซึ่งอันที่จริงแล้วหากเราตั้งใจมองและทำความเข้าใจดีๆ
เราจะพบว่าการเทรดแบบนี้ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เราคิดเลยครับ
ตรงกันข้าม มันกลับง่ายมากๆด้วย ง่ายจนผมเอาไปสอนแฟนผม
เค้าเข้าใจ concept ใน 5 นาทีด้วยซ้ำ

ก่อนอื่นต้องแนะนำก่อนว่า KZM คืออะไร
KZM ย่อมาจาก Killer Zone Model by MudleyGroup ครับ ยาวม่ะ : )
อันที่จริงมันคือการเทรดแบบ Fraction Trading ซึ่งพี่ Mudley
เค้าอธิบายว่ามันคือ "การต่อสู้โดยสัดส่วน"
เหมือนตลาดหุ้นเป็นสงคราม
ตัวนักลงทุนแต่ละคนก็คือแม่ทัพ
เงินของนักลงทุนแต่ละคนก็คือกองทัพ
การต่อสู้โดยสัดส่วน ็คือ การแบ่งเงินของเราเป็นส่วนย่อยๆ
เหมือนเป็นกองทัพเล็กๆ เพื่อส่งไปต่อสู้กับกองทัพของคนอื่น
( เช่น นลท. สถาบัน , นลท. ต่างประเทศ ) ในสถานการณ์ต่างๆ
โดยเงินที่เราแบ่งไว้เป็นส่วนย่อยๆ จะเรียกว่า "กอง"
แต่ละ "กอง" ก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป

พี่ Mudley เค้าจะให้แบ่งเงิน เป็น 4 กอง เท่าๆกัน นะครับ ดังนี้ครับ
กอง A   เป็นกองกำลังหลัก ( Zone Trading )
กอง B   เป็นหน่วยรบคุ้มกันกอง A ( Day Trade )
กอง C   เป็นหน่วยรบแบบกองโจร ( Technical Trading )
กอง D   เป็นหน่วยอารักขากองโจร ( Day Trading )

โดยทั้ง 4 กอง ก็จะมีหน้าที่ต่างกัน บทบาทต่างกัน
และแต่ละกองยังช่วยฝึกฝน Skill ในการเทรดให้กับเรา ดังนี้ครับ

กอง A ช่วยฝึกเรื่องวินัยในการเทรด ( เทรดตามโซน )
กอง B เป็นการฝึกสัญชาติญาณในการเทรด ในการหาจุดออกทำกำไร ใน Zone
กอง C เป็นการฝึกอ่านกราฟ เทคนิคคัล Skill รวมทั้ง Trading Skill
กอง D เป็นการฝึกสัญชาติญาณในการเทรด ในการหาจุดออกทำกำไร

ครั้งต่อไปผมจะมาพูดเจาะลงไปในแต่ละกอง ทีละกองนะครับ

อ้อ ผมลืมพูดถึงเรื่องวัตถุประสงค์ของ KZM
KZM นั้นพี่ต้ามเค้าออกแบบมาเพื่อให้อยู่รอดในตลาด
แม้ว่าจะเจอสถานการณ์ร้ายเพียงใด ก็จะสามารถอยู่รอดได้
ออกแบบมาเพื่อสร้างกระแสเงินสดครับ
แล้วก็เอากำไรในรูปกระแสเงินสดเนี่ย ไปต่อยอดอย่างอื่น
พี่ต้านให้ใช้แค่ครรึ่งนึงของกำไร ไปลงทุนแบบอื่นๆที่หวังผลตอบแทนมากๆ
อาจจะ KZM กับหุ้นปั่น ( เรียกว่า Virus Trading ) เพื่อเร่งกระแสเงินสด
ไม่ก็ Bet Unexpect Event กับพวก Call หรือ Put Option
หรือเก็งกำไรอย่างอื่นที่เราถนัดครับ เพราะถึงจะพลาด เราก็จะพลาดแค่กำไร
ไม่เกี่ยวกับทุนของเราครับ เพราะเราเอาแค่กำไรส่วนนึงมาเสี่ยง

นี่คือ KZM Basic Level 1 นะครับ
ซึ่งจริงๆแล้วพี่ต้านให้เทรดกับพวก ETF เท่านั้น
( แต่ผมแอบเอามาใช้กับหุ้น แหะๆ )
สาเหตุที่ให้เทรดกับ ETF ก็เพราะว่า ETF โอกาสเจ๊งน้อยมากๆๆๆ
ไม่ว่าตลาดจะถล่มยังไง หุ้นเจ๊งไปตัว ก็จะมีตัวอื่นที่เข้ามาใน ETF แทน
( เช่น SET50 เจ๊งไปตัวก็เหลือ 49 เสร็จก็มีตัวอื่นมาแทนให้ครบ 50 )
Level อื่นเด๋วค่อยพูดถึงก็แล้วกันนะครับ ผมก็เรียนถึง Level 2 อยู่เบยยยย > <

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คลังกระทู้ห้องสินธร DSM KZM และอื่นๆ เริ่มปี 47

เริ่มต้นตำนานกระทู้คือ โพส
I2926119 คุณเด่นศรีทำไมว่า Rich Dad....... [คลับเพื่ออิสรภาพทางการเงิน] อาซ้อสี่ (386 - 22 ก.ค. 47 21:23)

คลังกระทู้ คลับอิสระภาพทางการเงิน ห้องสินธร
http://2g.pantip.com/cafe/sinthorn/topicstockI.php?subgroup=6&page=2

ตัวอย่างคลังกระทู้

35. DSM (35) – SET DSM index คืออะไร

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3502498/I3502498.html Version1
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3513263/I3513263.html Version2
เพิ่มเติม http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3990755/I3990755.html   Version3








    35. DSM (35) – SET DSM index คืออะไร



    วิธีคิดดัชนี DSM ของพอร์ตของนักลงทุนแต่ละท่าน
    วัตถุประสงค์
    1. เพื่อไม่ให้พวกเราทั้งหลายที่ทำ DSM แล้วหลงไปยึดติดกับ SET INDEX

    2. เพื่อเอาไว้ดูว่าในแต่ละวันดัชนี DSM ของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

         การคำนวณดัชนีหุ้นนั้นมีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีก็มีจุดดี จุดด้อย นี่คือสาเหตุที่เราต้องมีทั้ง SET INDEX  , SET50 และ SET100

    วิธีคิดแบบแรกคือ PRICE WEIGHT คิดแค่ราคาหุ้นอย่างเดียว เช่น

    ตัวอย่างข้อมูลวันแรกเริ่มทำ DSM
    ITD ราคา 12.00  บาท
    KEST ราคา 32.00  บาท
    TPI ราคา 9.00  บาท
    เราก็จับเอาราคาทั้ง 4 ตัวมาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนหลักทรัพย์
    = ( 12 + 32 + 9 ) / 3  = 17.67   นี่คือค่าดัชนีเริ่มต้น

    แล้วถ้าเป็นข้อมูล ณ.ปัจจุบัน(ราคาตลาดปิดวันนั้นๆ)
    ITD ราคา 11.00  บาท
    SHIN ราคา 37.00  บาท
    TPI ราคา 10.00  บาท
    VNT ราคา 9.00  บาท
    = ( 11 + 37 + 10 + 9 ) / 4 = 16.67   นี่คือค่าดัชนี ณ. ปัจจุบัน

    นั้นก็แสดว่าดัชนีของ DSM พอร์ตตั้งแต่เริ่มทำมาจนถึงปัจจุบัน ลดลงไป 1.00 จุด คิดเป็น 5.66% ถ้าคิดด้วยวิธีนี้มูลค่าพอร์ตของเราก็ควรจะต้องลดลง 5.66% เช่นกัน แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเพราะเราถือหุ้นแต่ละตัวในจำนวนที่ไม่เท่ากัน สูตรคำนวณที่ตลาดฯใช้อยู่คิดแบบ MARKET VALUE WEIGHT โดยให้น้ำหนักกับจำนวนหุ้นที่อยู่ในตลาด ดังนั้นหุ้นที่มีขนาดใหญ่จึงมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนี วิธีนี้จึงเหมาะสมกว่าที่เราจะเอามาคิดดัชนี แต่แทนที่เราจะหยิบหุ้นทั้งตลาดมาคิด เราก็หยิบเอาเฉพาะหุ้นมี่เราถืออยู่และจำนวนที่เราถือ เช่น

    ตัวอย่างข้อมูลวันแรกเริ่มทำ DSM
    ITD ราคา 10,000*12.00 = 120,000 บาท
    KEST ราคา 3,000*32.00 = 96,000   บาท
    TPI ราคา 10,000*9.00 = 90,000 บาท

    (สมมุติว่าไม่ได้คิดค่าคอมมิชั่นรวมไปด้วยในตัวอย่างภายในบทนี้)
    รวมทั้ง 3 หุ้นได้เท่ากับ 306,000 เป็นตัวอ้างอิง สมมุติให้เป็น SET DSM index ดัชนีเริ่มต้นเท่ากับ 100 จุด (ตรงนี้จะกำหนดเป็น 1000 จุดก็ได้แล้วแต่เราชอบ)


    ข้อมูล ณ.ปัจจุบัน (ราคาตลาดปิดวันนั้นๆ)
    ITD ราคา 11,000*11.00 = 121,000  บาท
    SHIN ราคา 3,000*37.00 = 111,000  บาท
    TPI ราคา 4,000*10.00 = 40,000  บาท
    VNT ราคา 5,000*9.00 = 45,000  บาท
    รวมทั้ง 4 หุ้นได้เท่ากับ 317,000  บาท


    SET DSM index ณ.ปัจจุบัน = (317,000*100) / 306,000 = 103.59 จุด เท่ากับเพิ่มขึ้น 3.59 จุด (3.59%) มูลค่าพอร์ตของเราก็ควรจะต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน.  จะเห็นได้ว่าเมื่อคิดดัชนีด้วยวิธีนี้แล้ว จะมีความเป็นธรรมต่อจำนวนหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตของเราที่ไม่เท่ากัน.
    ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเอา SET INDEX มาดูเพื่อเป็นตัวอ้างอิงกับพอร์ต DSM ได้ เพราะเขาเอาหุ้นทุกตัวมาคิดคำนวณ แต่เรามีหุ้นแค่บางตัว และเมื่อหุ้นบางตัวที่เราไม่มีแต่ดันขึ้นเช่น PTT, PTTEP พวกนี้มีผลต่อ SET INDEX ค่อนข้างมาก ก็จะทำให้ SET INDEX ปรับขึ้นตาม แต่ตลาดฯก็ต้องมีตัวอ้าวอิงจึงต้องใช้วิธีนี้และมีตัวอ้างอิงตัวอื่นๆ
    ไว้เปรียบเทียบ.

         ฉะนั้นพวกเราเองที่ทำ DSM ก็จำเป็นต้องมีตัวอ้างอิงของเราไว้ค่อยเปรียบเทียบด้วย เพราะเมื่อขนาดพอร์ตเปลี่ยนไป ราคาเปลี่ยนไป เราจะเห็นได้ชัดว่าที่เราทำ DSM อยู่นั้น ว่าดีขนาดไหน
    จากตัวอย่างข้างบน ถ้าคิดตามวิธีแรกปรากฏว่า SET DSM ลดลง 1.00 จุด (5.66%) แต่ถ้าคิดตามวิธีการถ่วงน้ำหนักแล้ว SET DSM index กลับเพิ่มขึ้น 3.59 จุด (3.59%) แสดงว่าถ้าทำ DSM กลับเป็นว่ามูลค่าพอร์ตเพิ่มขึ้น และถ้าจะให้เป็นจริงมากขึ้นเราก็ควรที่จะต้องนำเอาเงินกระแสเงินสดแฝงที่มีอยู่ใส่เข้าไปด้วย (เหมือนกับว่าเราซื้อหุ้นใส่เข้าไปจนหมดเงิน)


    สรุปเป็นสูตร SET DSM index ได้ดังนี้

    SET DSM index  =  { ผลรวม(จำนวนหุ้นY * ราคาหุ้นY) + เงินสดคงเหลือ } * 100 / ผลรวม(จำนวนหุ้นX * ราคาหุ้นX)

    เมื่อ   X = หุ้น ณ.วันแรกเริ่มทำ DSM, Y = หุ้นในพอร์ต ณ.ปัจจุบัน
     เงินสดคงเหลือ = เงินสดทั้งหมด - เงินออม 25% - เงินค่าใช้จ่าย 25%
    หวังว่าคงพอจะเป็นประโยชน์กับพวกเราชาว DSMจะได้เอาไว้ค่อยดูการเปลี่ยนแปลงของ SET DSM indexของเราเอง เพื่อไม่ให้ SET INDEX หลอกพวกเราชาว DSMer ได้อีกต่อไป
    ปล. วันนี้นักลงทุน DSMer มี SET DSM index กันของแต่ละพอร์ตแล้วหรือยัง 


    จากคุณ : จูล่ง - สุภาพบุรุษจากเสียงสาน  - [ วันสิ้นปี 09:46:09 ]

34. DSM (34) – DSM Double Pyramid Theory คืออะไร

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3502498/I3502498.html Version1
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3513263/I3513263.html Version2
เพิ่มเติม http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3990755/I3990755.html   Version3


ตัวเลขกระทู้ เป็นการอัพเดทกระทูุ้ใหม่



     ความคิดเห็นที่ 34 

    32. DSM (32) – DSM Double Pyramid Theory คืออะไร


    คือการบริหารพอร์ตหุ้น DSM อีกแบบหนึ่งเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิ์ภาพการลงทุนให้มีขีดความสามารถสูงสุดเท่าที่จะทำได้ มีนักลงทุนหลายท่านได้ บ่นถึงว่า เวลาหุ้นเป็นขาลงทำให้มูลค่าพอร์ตลดลงอย่างรวดเร็วทำให้นักลงทุนบ้างท่านอาจไม่สบายใจกับมูลค่าพอร์ตที่ลดลง แต่จริงๆแล้วDSM ไม่สนใจมูลค่าพอร์ตแต่อย่างไร แต่ทำอย่างไรได้ เราเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอาจมีช่วงเวลานึ่งที่ไปดูแล้วเกิดอารมณ์ร่วมกับมัน ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรใส่ใจกับมัน เลยเป็นที่มาของการเล่นวิธีการลงทุนแบบ DSM Double Pyramid Theory ก็ต้องมาขยายความอีกนิดหน่อยว่าคำว่า Double ก็คือคู่ หรือ สอง ส่วน Pyramid นี้นักลงทุนทุกท่านคงน่าจะเคยเห็นรูปร่างของPyramid อยู่แล้วว่ามีฐาน กว้างและยอดของมันเล็ก เอามาประยุกต์กับการเล่นหุ้นได้ซึ่งอาจไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใดแต่ได้เอามาประยุกต์ใช้เท่านั้น


    แนวคิดการลงทุนหุ้นให้มองรูปแบบว่าเราใช้Pyramid เป็นรูปแบบการลงทุน คือเวลาลงทุนหุ้นขาขึ้นหรือซื้อหุ้น ให้ซื้อแบบ Pyramid หัวตั้ง ก็ซื้อฐานกว้าง ยิ่งขึ้นยิ่งซื้อแต่ ซื้อน้อยลงเป็นสัดส่วนกันไป


    ส่วนเวลาหุ้นขาลงหรือขายให้ขายแบบ Pyramid หัวกลับ โดยขายครั้งแรกขายปริมาณมากและขายตามสัดส่วนที่ลดลง


    ถ้าลงทุนตามวิธีการนี้สามารถเพิ่มประสิทธิ์ภาพการลงทุนในDSM ได้มากสุดทั้งขาขึ้นและขาลง สามารถทำให้การลดลงของมูลค่าพอร์ตตอนหุ้นขาลง ลดลงน้อยกว่าวิธี Basic DSM อย่างมาก


    บทนี้ขอเขียนแต่แนวคิดเท่านั้น ไม่สามารถเขียนเปิดเผยวิธีการเล่นใดๆได้ เพราะอาจทำให้นักลงทุนเองสับสนกับ Basic DSM แต่ที่นำเสนอเอาไว้จะได้รู้ว่ามีวิธีการเล่นหุ้นDSM อีกหนึ่งแบบซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกหนึ่งวิธี 


    จากคุณ : จูล่ง - สุภาพบุรุษจากเสียงสาน  - [ วันสิ้นปี 09:44:47 ]

33. DSM (33) – เปรียบเทียบวิธีการลงทุนของ VI, DSM กับอสังหาริมทรัพย์

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3502498/I3502498.html Version1
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3513263/I3513263.html Version2
เพิ่มเติม http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3990755/I3990755.html   Version3

ตัวเลขกระทู้ เป็นการอัพเดทกระทูุ้ใหม่

    20. DSM (20) – เปรียบเทียบวิธีการลงทุนของ VI, DSM กับอสังหาริมทรัพย์



    เปรียบเทียบการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของหุ้นแบบ VI,  DSM กับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน

    VI…คือคนที่รู้ว่าทำเลทองอยู่ที่ไหน และที่สำคัญกว่าคือรู้ว่าทำเลทองที่ว่า ตอนนี้ราคาถูกมาก และเข้าไปกว้านซื้อเก็บไว้ ถ้าเกิดจะมีคนมาขอซื้อต่อแพงๆ เรา VI ก็เฉยๆ เพราะเรารู้ว่าเราจับจองทำเลทองไว้อยู่ ในอนาคตเมื่อคนอื่นๆ รู้มากขึ้น การค้าก็ไหลมาเทมา รายได้จากค่า เช่าค่าเซ้งก็จะไหลมาเทมา และราคาที่ดินก็จะขึ้นตามไปด้วยในที่สุด

    DSM…คือคนที่ประมาณได้ว่าทำเลทองอยู่ที่ไหน เลือกเอาที่คนพลุกพล่านหน่อยๆ จะได้ซื้อคล่องขายคล่อง แต่อาจจะไม่รู้ว่าราคาตลาดขณะนั้นเป็นราคาที่เหมาะสมหรือยัง ก็เข้าไปกว้านซื้อที่ไว้ เสร็จแล้วก็เอามาแบ่งขายเป็น lot เล็กๆ ที่ราคาตลาด ถ้าตลาดมี Demand สูงก็โก่งราคาหน่อย ถ้าปล่อยถูกๆ แล้วยังไม่มีคนเอาก็ตั้งราคาถูกลงไปอีก แต่ที่สำคัญเมื่อปล่อยไปแล้ว ก็ค่อยๆ ทยอยซื้อคืนเมื่อ lot ที่เราปล่อยขายไปนั้น ราคาตกลงมาต่ำกว่าราคาที่เราขายไป

    รายได้จากการปล่อยขายนี้ เราก็เอาไปลงทุนในทำเลอื่นบ้าง เพิ่มพื้นที่ในทำเลเดิมบ้าง หรือย้ายทำเลไปจังหวัดใหม่บ้าง ตามแต่แผนการลงทุน

    VI… จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเฟ้นหาทำเลทอง และประเมินมูลค่าทำเล  นั้นว่าถูกแสนถูกหรือยัง ถ้าทำเลนั้นมีสิ่งปลูกสร้างที่ปล่อยเช่าได้ จะยิ่งดีเงินสดจะเก็บเอาไว้จนกว่าจะเจอทำเลทองที่ถูกใจถูกราคาจริงๆ ถึงเข้าซื้อ

    DSM…ส่วนใหญ่จะใช้เวลาไปกับการวางแผนว่า วันพรุ่งนี้จะต้องขายอะไรและซื้ออะไร เมื่อราคาตลาดเป็นเท่าไหร่

    คนส่วนมากมักจะคิดว่าเวลาของDSM หมดไปกับการเทรด แต่จริงๆ แล้วเป็นการวางแผนตอนเย็นหลังปิดตลาดหุ้นหรือตอนกลางคืน ปกติ DSM จะใช้เวลาวางแผนกันประมาณครึ่งถึงสองชั่วโมง แล้วแต่จำนวนหุ้นที่ติดตาม (ทั้งถือและไม่ได้ถืออยู่) ส่วนเวลาในการเทรด น่าจะรวมกันทั้งวันไม่เกิน 15 นาที บางคนใช้เวลาแค่ 2 นาที คือช่วงปิดตลาดเช้าเย็น วันละสองครั้ง

    คิดว่าเป็นแนวทางการลงทุนที่สำเร็จแน่นอน แทบจะปราศจากความเสี่ยง (ในแง่หมดเนื้อหมดตัว) และให้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ  “ถ้าสามารถรักษาวินัยการลงทุนได้อย่างเคร่งครัด”
    และไม่เอาอารมณ์มาช่วยตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจทำไปแล้วตั้งแต่ตอนเย็นหลังปิดตลาดหุ้นหรือตอนกลางคืน

    ถ้าต้องการผสมผสาน VI กับ DSM เข้าด้วยก็สามารถทำได้ คือนำ DSM มาใช้ร่วมกับ Value Investing แล้วอันนี้จะเรียกได้ว่า "สุดยอดไปเลย" เพราะลำพัง VI อย่างเดียว ซื้อหุ้นมาได้ตอนถูก แล้วถือรอจนได้ผลตอบแทนสูง แต่จำนวนหุ้นยังเท่าเดิม แต่ถ้าเราวิเคราะห์แบบ VI แล้วซื้อหุ้นตัวนั้นมาถือ ระหว่างถือรอราคาขึ้น ก็ทำ DSM ไปด้วย เราจะได้จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ โดยไม่ต้องลงเงินเพิ่มเลย อย่างนี้จะทำให้เกิดความสุดยอดจริงๆ อย่างนี้คงเรียกได้ว่าเป็นแค่ DSM พันธุ์ทางเท่านั้น ไม่ได้เป็นDSM พันธุ์แท้แต่อย่างไร 


    จากคุณ : จูล่ง - สุภาพบุรุษจากเสียงสาน  - [ วันสิ้นปี 09:40:22 ]

32. DSM (32) – กลยุทธ์หุ้นDSM สู้ศึก XR ทำอย่างไร

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3502498/I3502498.html Version1
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3513263/I3513263.html Version2
เพิ่มเติม http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3990755/I3990755.html   Version3






     ความคิดเห็นที่ 33 

    DSM (32) – กลยุทธ์หุ้นDSM สู้ศึก XR ทำอย่างไร


    การเพิ่มทุนของหุ้นในการลงทุนหุ้น DSM จะทำอย่างไรดี หัวข้อนี้ได้แรงบันดาลใจจากท่านอาจารย์ Minibar(หนึ่งในศิษย์เอก DSM)ได้พูดคุยใน MSN ว่าได้ไปจ่ายเงินเพิ่มทุนให้กับหุ้นตัวหนึ่งในราคาหุ้นละ 1.71 บาท(รู้หรือยังว่าหุ้นอะไร ถ้ายังติดตามต่อนะ) เลยได้เกิดข้อคิดอะไรบ้างอย่างทำให้ต้องเขียนกลยุทธ์หุ้น DSM สู้ศึก XR จะทำอย่างไรดี เพราะหลักการข้อหนึ่งของการลงทุนDSM คือไม่ควรเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปในพอร์ตอีก แล้วใช้กระแสเงินสดแฝงของหุ้นตัวเองสร้างและสะสมหุ้นให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้กระแสเงินสดแฝงมากขึ้น เหมือนเงาที่ติดตามตัว(หุ้นมากขึ้น กระแสเงินสดแฝงมากขึ้นเช่นกัน)

    เดือนแห่งความรัก เช้าวันนึ่งก่อนตลาดหุ้นเปิดเวลาประมาณ 09.36 น. ของวันที่ 3 ก.พ.48 หุ้น THL ได้ขึ้นเครื่องหมาย H ห้ามการซื้อขาย และปลด H เวลา 13.36 น. ของวันเดียวกัน ราคาเปิดของหุ้น 2.78 บาทเปิดมาก็ติดลบลงไปถึง 0.14 บาท (ราคาปิดวันที่ 2 ก.พ.48 คือ 2.92 บาท) ราคาสูงสุด 2.85 บาท ต่ำสุด 2.74 บาท ราคาปิด 2.76 บาท ได้มีคำถามว่าเกิด อะไรขึ้นตั้งแต่ เห็น H ห้ามซื้อขาย ได้รู้คำตอบว่า มีการเพิ่มทุนอย่างไม่สมเหตุผล จึงเป็นที่มาของคำถามว่า เราชาว DSMers จะทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าหุ้นมีการเพิ่มทุน(XR) และหุ้นที่เราถือประวัติ หรือผลประกอบการก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเราก็ไม่มีเงินจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนเสียด้วย เพราะเงินมีจำกัดจะทำอย่างไรดี ยิ่งเป็นนักลงทุนหุ้น DSM เริ่มลงทุนใหม่ หรือพอร์ตเล็ก ๆ แต่ถ้ามีเงินจากกระแสเงินสดแฝงจากตัวหุ้นเองสามารถที่จะซื้อเพิ่มทุนได้ ก็ให้มองข้ามวิธีที่จะแนะนำต่อไปนี้ได้เลย

    กลยุทธ์นี้เมื่อหุ้นประกาศเพิ่มทุน แต่ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน ทำได้ดังนี้

    1. ทำการขายหุ้นตัวนั้นออก ให้มากและเร็วที่สุดในวันที่รู้ข่าวประกาศเพิ่มทุน โดยยังขายตามแผน อาจจะขาย 10%, 20% , 50%, 100% อย่างไรก็ได้แล้วแต่จังหวะ และรอจนกว่าหุ้นเพิ่มทุนตัวนั้น ได้เข้ามาทำการซื้อขายในตลาดแล้วหรือซื้อในราคาที่เหมาะสมหลังเพิ่มทุนตามสัดส่วนแล้วน่าจะซื้อให้ต่ำว่าเราค่าเหมาะสมจะดีมากและรอจังหวะซื้อหุ้นคืนตอนหุ้นกำลังเขียว ๆ เข้าสูตร กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง หรือ

    2. ทำการซื้อขายหุ้นตัวนั้น ตามแผนที่วางเอาไว้อย่างไม่หวั่นไหว  แต่ยังอยู่ในเงื่อนไขไม่มีเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนและก็ไม่สามารถที่จะทำการหากระแสเงินสดแฝงจากหุ้นตัวมันเองในระยะเวลาก่อนขึ้นเครื่องหมาย XR ไม่มีเงินพอไปจ่ายเงินค่าหุ้นเพิ่ม แต่กรณีนี้มีความแตกต่างจากการเทรดหุ้นDSM ตามภาวะปกติ นั้นคือหลังจากที่เราได้ทำการตามแผนลงทุนหุ้น DSM แล้วได้หุ้นเพิ่มได้กระแสเงินสดแฝงเพิ่ม ให้ขายหุ้นออก 100%ของพอร์ต ก่อนวันที่ขึ้น XR เพื่อที่จะไม่ต้องเพิ่มทุนหุ้น และไปรอรับหุ้นกลับหลังจากที่ลูกหุ้นได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดแล้ว และซื้อตอนหุ้นเขียวจะขึ้น ให้เข้าซื้อหุ้นกลับ ก็จะได้กระเงินสดแฝง และจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่ต้องใส่เงินเพิ่มเข้าไปในพอร์ตหุ้นDSM สักบาท

    ตามมาดูหุ้น THL กันนะ หลังจากประกาศเพิ่มทุนแล้วหุ้นตก ได้ข้อมูลว่า วันที่จะขึ้น XR วันที่ 9 มี.ค. 48 ในอัตราส่วน 4:1 @ 1.71 บาท หมายความว่า 4 หุ้นเดิมซื้อหุ้นใหม่ 1 หุ้นในราคา 1.71 บาท และวันจองจ่ายเงินค่าหุ้นเพิ่มวันที่ 24-30 มี.ค.48 ถ้าใครถือหุ้นถึงวันที่ 9 มี.ค.48 แต่ไม่จ่ายเงินค่าหุ้นเพิ่ม ก็อดได้หุ้นใหม่ ตามสัดส่วนนะ
    ดูราคาปิดวันที่ 8 มี.ค.48 ราคา 2.42 บาท และราคาเปิดของวันที่ 9 มี.ค. 48 อยู่ที่ 2.44 บาท สูงสุด 2.56 บาท ต่ำสุด 2.40 บาท ราคาปิด 2.40 บาท

    ลองมาคำนวณหาราคาที่เหมาะสมหลังจากเพิ่มทุนกันดีกว่านะ 4 หุ้นต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคา 1.71 บาท จะได้ราคาเฉลี่ยเท่าไร (เอาราคาปิดของวันที่ 9 มี.ค.48 มาคิด 2.42 บาท) ได้ดังต่อไปนี้

    ราคาหุ้นที่เหมาะสม= (4x2.42+1.71x1)/5=2.28 บาท ดังนั้นได้ราคาที่เหมาะสมที่ 2.28 บาท ถ้าเห็นราคาตลาดหลังขึ้นเครื่องหมาย XR แล้วราคาหุ้นได้เท่ากับ 2.28 บาทถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม แต่ถ้าได้ต่ำว่า 2.28 บาทก็ยิ่งดี


    หลังจากได้นั้นวันที่ลูกหุ้นเข้าทำการซื้อขาย เป็นจำนวน 151,387,893 หุ้น เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 48 มาดูผลของราคากันนะ ราคาเปิด 2.04 บาท สูงสุด 2.20 บาท ต่ำสุด 2.00 บาท ราคาปิด 2.10 บาท

    มาลองเปรียบว่า ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.48 ราคาปิด 2.76 บาท ถึงวันที่ก่อนขึ้น XR ราคาปิดวันที่ 8 มี.ค.48 ผลต่าง 0.34 บาท (2.76 -2.42) ติดเป็น 12.31% ภายในระยะเวลาหนึ่ง เดือน (3 ก.พ.-8มี.ค.48) เราสามารถสร้างกระแสเงินสดแฝงเท่ากับ12.31 % ได้หรือไม่

    มาลองเปรียบว่า ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.48 ราคาปิด 2.76 บาท ถึงวันที่ ลูกหุ้นใหม่เข้าเทรดในตลาดเป็นอย่างไรบ้าง ผลต่าง 0.66 บาท (2.76-2.10) ติดเป็น 23.91%

    มาดูซิว่าถ้าเราทำตามวิธีการที่ 1 ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ภายใต้สมมุติฐานว่า ขายหุ้น 100% ราคาปิด 2.76 บาท และซื้อคืนวันแรกที่หุ้นเทรดในตลาด ที่ราคาปิด 2.10 บาทได้ผลต่าง 0.66 บาท คิดเป็น 23.91% จะได้กระแสเงินสดแฝงภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น

    มาดูวิธีการที่ 2 กันนะทำตามแผนจะได้กระแสเงินสดแฝงเท่าใด ไม่ทราบได้ ในระยะเวลาหนึ่งเดือน เมื่อเปรียบเทียบกับการขายที่ราคาปิดของวันที่ 3 ก.พ.48 จนถึง ราคาปิด ของวันที่ 8 มี.ค. 48 ซึ่งได้ ผลต่าง 0.34 บาท ติดเป็น 12.31% ซึ่งไม่แน่ว่าการทำตามแผนการจะได้ผลตอบแทนเท่ากับหรือมากกว่า 12.31% ได้หรือไม่ และขายออกวันที่ 8 มี.ค.48 ณ ราคาปิดที่ 2.42 บาท มาซื้อหุ้นคืนที่ 20 เม.ย.48 ราคาปิด 2.10 บาท ผลต่าง 0.32 บาทคิดเป็น 13.22 % ภายในระยะเวลา 2  สัปดาห์

    ดังนี้ก็ให้ชาว DSMers ตัดสินใจว่าจะเลือกวิธีไหนดี อันนี้เป็นการยกตัวอย่างหุ้นตัวนี้นะครับ หุ้นตัวอื่นๆอาจไม่ได้เป็นแบบนี้ก็ได้

    แต่ถ้านักลงทุน DSMer มีเงินมากพอที่จะเพิ่มทุน ก็คงไม่มีปัญหาอะไรทำตามแผน แต่ก็อีก คนชั่งคิดไปเรื่อย ถ้าเราทำตามแผนการลงทุนในหุ้น DSM ไปเรื่อยๆจนวันที่ลูกหุ้นใหม่เข้าตลาด กับเมื่อเปรียบเทียบการที่เราทำตามแผนไปจะถึงวันที่ขึ้น XR วันที่ 9 มี.ค.48 แล้วขายหุ้น ณ ราคาปิด (2.40) ตลาดหมดและแล้วไปรับหุ้นกลับวันที่ลูกหุ้นเข้าเทรดอันไหนแบบไหนน่าจะได้กระแสเงินสดแฝงมากกว่ากัน หรือ แบบไหนจะได้จำนวนหุ้นมากกว่ากัน ฝากเป็นการบ้าน

    ก็ยังมีการเพิ่มทุน ทั้งลดพาร์ ของหุ้นบางตัวที่ชั่งแต่ต่างจากหุ้น THL เหลือเกิน และยังทั้งร้อนทั้งแรง ใครๆก็ต้องพูดถึง นั้นคือ หุ้น TPI นั้นเอง แต่สังเกตให้ดีถึงจะมีอะไรที่แต่ต่างกันอย่างกับสวรรค์ (TPI) กับนรก (THL), หรือมุมตกกระทบ (THL) กับมุมสะท้อน (TPI) แต่อย่างน้อยๆถ้าไม่มองข้ามไป ก็มีความเหมือนที่แตกต่างนะ ทายดูซิ ว่าคืออะไร เป็นหุ้นที่ขึ้นต้นด้วย T เหมือนกัน และเป็นหุ้นอยู่กลุ่ม Rehabilitation เหมือนกัน แต่TPI กำลังจะย้ายไปเทรดในกลุ่มพลังงานแล้วเหมือนขึ้นจากขุมนรกที่ 18 ไปสู่สวรรค์อย่างไรอย่างนั้นเลย


    หุ้น TPI เพิ่มทุนพร้อมลดพาร์จาก 10 มาเป็นพาร์ 1 และ น่าจะ 1:3 ราคา 3.30 บาท คือ 1 หุ้นเดิมได้ 3 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท

    ตัวอย่างการคำนวณสมมุติ เอาราคาปิดวันที่ 20 เม.ย.48 ที่ 10.00 บาท
    ราคาที่เหมาะสมหลังเพิ่มทุน= (10 +3x3.5)/4=4.975 บาท แล้วอาจได้เห็น TPI กลายเป็น ATC ภาค 2 หรือ อาจได้เห็นราคายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับ TOP ได้เช่นกัน แต่อย่าลืมว่าไม่คาดเดาตลาด


    หมายเหตุ

    1. หุ้น TPI ใครยังไม่มีควรหามาประดับพอร์ตได้ แต่ถ้าถามว่าไม่มีเงินเพิ่มทุนจะทำอย่างไร ก็ทำตามที่ได้นำเสนอไปตามข้างบน
    2.  XR = Excluding Right = ผู้ซื้อหุ้นในวันที่แขวนป้ายนี้ จะไม่มีสิทธิ์ในการจองซื้อหุ้นใหม่ ต้องซื้อก่อนหรือช่วงก่อนแขวนป้ายเช่นเดียวกัน
    3. H = Halt Trade = เครื่องหมายแสดงให้นักลงทุนทราบว่าหลักทรัพย์ดังกล่าวอยู่ระหว่าง ห้ามซื้อขาย สำหรับช่วงเวลาซื้อขายรอบนั้น 


    จากคุณ : จูล่ง - สุภาพบุรุษจากเสียงสาน  - [ 31 พ.ค. 48 16:28:53 ]

31. DSM (31) – กลยุทธ์หุ้นDSM สู้ศึก XD ทำอย่างไร

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3502498/I3502498.html Version1
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3513263/I3513263.html Version2
เพิ่มเติม http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3990755/I3990755.html   Version3








     ความคิดเห็นที่ 32 

    DSM (31) – กลยุทธ์หุ้น DSM สู้ศึก XD ทำอย่างไร


    การลงทุนหุ้นวิธี DSM เป็นไปตามแผนที่วางมา ไม่ว่าวันนี้หุ้นจะแดง หรือว่าจะเขียว ไม่ต้องคิดคาดเดาตลาด (กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง) ในภาวะตามปกติ แต่เมื่อไรเข้าช่วงเดือนมี.ค.ถึงพ.ค. ของแต่ละปี ยอมมีเงินปันผล สำหรับบริษัทที่เงินปันผล  นักลงทุนสามารถทำตามแผนอย่างไม่หวั่นไหว วันที่ต้อง ขึ้น XD หลังวัน XD เราก็ทำตามแผน แต่ว่ามันเป็นแผนที่เรารู้ว่ามันต้องราคาลดลงเท่ากับที่ได้ปันผล แต่มีการตั้งคำถามว่า ถ้าไม่อยากได้เงินปันผลจะทำอย่างไรดี โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้

    1. ไม่อยากรอรับเงินปันผลหลังจากวัน XD ไปอีก อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์

    2. เงินปันผลที่ได้รับโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 10% ของเงินปันผล ยิ่งทุนน้อยยิ่งไม่ต้องการเสียเงินส่วนนี้

    3. หุ้นบางตัวก็มีเครดิตภาษี บางตัวก็ไม่มีเครดิตภาษี ทำให้ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการขอรับเครดิตภาษีได้อย่างเต็มที

    4. นักลงทุนบางคนไม่ต้องการได้เครดิตภาษี เพราะเสียภาษีที่ฐานภาษีสูงแล้วหรือไม่ต้องการโดนตรวจสอบอย่างละเอียดเมื่อขอรับเครดิตภาษี โดยมีเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ

    5. เพราะต้องการรับเป็นกระแสเงินแฝงมากกว่ารับเงินปันผล


    จึงมีที่มาของคำถามว่าการลงทุนหุ้น DSM แล้วจะขึ้น XD ทำอย่างไรดี ที่ไม่ผิดกฎ ซื้อให้ถูกกว่าขาย ไม่คาดเดาตลาด เพราะเดาอย่างไรก็ไม่ถูก ถ้าเดาตลาดถูกหรือรู้น่ารวยไปนานแล้ว จริงหรือเปล่า ท่านผู้อ่านทุกท่าน

    อาจารย์ Vprewat(หนึ่งในศิษย์เอก DSM)  ได้ลองทำกับหุ้น LOXLEY, LPN จึงเป็นที่มาของกลยุทธ์หุ้นDSMสู้ศึก XD ได้คาดเดาว่ามันน่าจะลงเท่าเงินปันผลหรือมากกว่า ได้ทำการขายหุ้นทั้งหมด 100% ก่อนขึ้นวัน XD แล้วผลออกมาอย่างไรกันบ้าง มันน่าจะได้รับกระแสเงินสดแฝงเท่ากับเงินปันผลหรือมากกว่า แต่อย่าลืมนะว่า ห้ามเดาตลาด คำนี้ใช้ได้ผลเสมอทั้งๆ ที่ว่ามันน่าจะลงเท่ากับเงินปันผลแต่ผลที่ตามมาไม่ใช่ แล้วอย่างไร ตัวอย่างนะ

    เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 48 มีหุ้น XD ทั้งหมด 45 ตัวมีหุ้นตัวใหญ่หลายตัว เช่น BANPU, SCC ซึ่งคิดเดาว่ามันน่าจะแดงทั้ง SET และทั้งตัวหุ้น ตามมาดูผลกัน

    หุ้น BANPU ปันผล 3.25 บาทต่อหุ้น จ่ายเงินปันผลวันที่ 11 พ.ค. 48 และราคาหุ้นปิดวันที่ 31 มี.ค.48 อยู่ที่ราคา 162 บาท แล้ววันที่ขึ้น XD ราคาเปิด 161 บาท, สูงสุด 168 บาท, ต่ำสุด 161บาท, ราคาปิด 166 บาท ดังนี้วันนี้ ได้เงินปันผลฟรี และยังได้ผลต่างอีก 4 บาท ถ้ารวม จะได้เงินวันนี้ 7.25บาท แล้วหุ้นยังวิ่งต่อไปถึงวันที่12 เม.ย.48 ราคาปิด 170 บาท มากกว่าวันก่อนขึ้น XD ถึง 8 บาท ถ้าขายวันนี้ตอนปิดตลาดจะได้ทั้งเงินปันผลและผลต่างถึง 11.25 บาท  แต่จะไม่ขอยกตัวอย่างของหุ้น LOXLEY, LPN นะให้ไปถามท่านอาจารย์ Vprewat โดยตรง

    แต่มีหุ้นอีกจำนวนมากอีกหลายตัวที่ลงเท่าเงินปันผลหรือว่ามากกว่าเงินปันผล แต่ตัวอย่างนี้เป็นการบอกไม่ควรคาดเดาตลาด และจะทำให้เราเสียหุ้นที่ถืออยู่ให้มือหมดเลย ถึง 100% แล้ว แต่ถ้าเราจะคิดหลักการกลยุทธ์รับมือกับหุ้น XD โดยไม่เดาตลาดได้อย่างไร มีดังต่อไปนี้

    นักลงทุนหุ้นDSM มีหุ้นในมือก่อนขึ้นวัน XD อย่างหนึ่งวัน ถ้าให้ดีควรขายทำประกันก่อน XD สัก 2-3 วันก่อนขึ้นวันเครื่องหมายจะได้ราคาที่ดี ให้ขายทำประกันเอาไว้ 30% ของพอร์ต แล้วถือรับเงินปันผล 70% ของพอร์ต


    เหตุผลสนับสนุนดังนี้

    1. ทำไมต้องขายทำประกัน 30% เพราะเท่ากับจำนวนหุ้นที่เรายินดีทิ้งไว้เป็นกองหลังนั้นเอง คงไม่ต้องสงสัยว่าตัวเลขนี้เอามาจากไหน

    2. เงินปันผลสำหรับ DSMer ถือว่าเป็นเงินฟรี ดังนั้นจะได้มากหรือน้อย ก็ไม่สำคัญ

    3. ถ้าหุ้นวิ่งขึ้นสวนแทนที่มันจะลงก็ยิ้ม เพราะเราได้รับเงินปันผล 70% ของพอร์ต แล้วหุ้นยังขึ้นต่อไปอีกด้วย

    4. ถ้าหุ้นวิ่งต่ำว่าเงินปันผลก็ยิ้มเพราะได้รับปันผล 70% ของพอร์ต แล้วยังได้ขายทำประกันหุ้นตกต่ำว่าปันผลอีก 30% ซึ่งอย่างนี้ไม่ยิ้มได้อย่างไร สามารถที่จะขายตามแผนที่วางไว้ต่อได้

    แต่ถ้า DSMers ท่านใดไม่ต้องการทำตามกลยุทธ์นี้ก็ได้ครับถือหุ้นรับปันผล 100% เลยก็ได้ แต่กลยุทธ์ นี้สำหรับ DSMers บางท่านตามเหตุผลข้างบทที่ได้กล่าวมาแล้ว


    ขอแนะนำและสังเกตกว่า หุ้นที่วิ่งสวนวันXD ส่วนมากจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน และอีกตัวอย่างนึ่งช่วยสนับสนุนกลุ่มพลังงาน หุ้น RPC ขึ้น XD วันที่ 11 เม.ย.48 , ราคาปิดวันที่ 8 เม.ย.48 อยู่ที่ 8.20 บาท ปันผล 0.40 บาทต่อหุ้น จ่ายปันผลวันที่ 29 เม.ย.48 ตามคาดว่าวันที่ขึ้น XD วันที่ 11 เม.ย.48 ราคาน่าจะอยู่ที่ 7.80 บาท ตามดูผลกันนะ ณ วันที่ 11 เม.ย.48 ราคาเปิด อยู่ที่7.80 บาท(ตามคาด),  สูงสุด 8.00 บาท,  ต่ำสุด 7.8 บาท, ราคาปิด 7.95 บาท สรุปได้ว่า วันนี้ถือได้เงินปันฟรีและยังได้เพิ่มอีก 0.15 บาทรวมเป็น 0.55 บาท ดูต่ออีกวันซิ วันที่ 12 เม.ย. 48 ราคาเปิด 8.00 บาท, สูงสุด 8.10 บาท ต่ำสุด 7.90 บาท, ราคาปิด 7.95 บาท อันนี้เป็นตัวอย่างอีกตัวอย่างนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นวันที่ 1 เม.ย.48 แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปตามความคาดว่ามันจะลงเท่ากับหรือว่ามากกว่าปันผล ถ้า DSMers คิดจะคาดเดาตลาด ตามเหตุผลข้างบทที่ได้กล่าวมาแล้ว หรือหุ้นกลุ่มเดินเรือ อีกตัว TTA อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร หาข้อมูลแล้วจะรู้ว่าเป็นอีกตัวได้เงินปันผลฟรีพร้อมผลต่างอีกด้วย

    ถ้านึกย้อนไปประมาณ เดือนเดียวกันนี้ ปี พ.ศ. 2547 หุ้น PTTEP ก็วิ่งสวนปันผลใครถือก็ได้เงินปันผลฟรีพร้อมกับส่วนต่าง ขอจบเกร็ดกลยุทธ์หุ้นDSM สู้ศึก XD ไว้เท่านี้

    หมายเหตุ

    1.นักลงทุน DSM ควรคิดและพิจารณาพร้อมกับวางแผนการล่วงหน้ารับมือไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือว่าจะลง ขอให้ชาวDSMer เกาะติดคลื่นทะเลหุ้นไปตามกระแสน้ำรับรองว่าทุกท่านที่เป็นDSMer จะได้พบกับอิสรภาพทางการเงินในเร็ววันอย่างแน่นอน

    2. XD = Excluding Dividend = ผู้ซื้อหุ้นในวันที่แขวนป้ายนี้ จะไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ตามที่บริษัทประกาศจ่ายในงวดนั้น หากต้องการรับเงินปันผลก็ต้องซื้อหุ้นก่อนหรือซื้อช่วงที่มีข่าวประกาศ XD แต่เมื่อข่าวออกมาแล้วหุ้นก็จะแพงขึ้นมารับข่าวนั้นด้วย 


    จากคุณ : จูล่ง - สุภาพบุรุษจากเสียงสาน  - [ 31 พ.ค. 48 16:27:22 ]

30. DSM (30) – วิธีเล่นหุ้นDSM Double Theory คืออะไร

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3502498/I3502498.html Version1
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3513263/I3513263.html Version2
เพิ่มเติม http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3990755/I3990755.html   Version3




     ความคิดเห็นที่ 31 

    DSM (30) – วิธีเล่นหุ้นDSM Double Theory คืออะไร


    อะไรคือ Double Theory ชาว DSMers บางท่านคงเคยได้ยินมาก่อน จากท่านอาจารย์ลำชี (หนึ่งในศิษย์เอก DSM) ได้เล่าให้ฟังว่า ได้คิดค้นวิธี Double โดยบังเอิญซึ่งตอนนั้น ท่านอาจารย์ลำชีได้พยายามคิดค้นคำว่าช่องว่างของตลาดหุ้นคืออะไร และเป็นความบังเอิญในระหว่างการเทรดหุ้น DSM เกิดขึ้นตอนซื้อหุ้นกลับหลังจากขายกองหลังไป แล้วได้ค้นพบวิธีนี้โดยบังเอิญ จะเล่าสู่กันฟังว่า เป็นอย่างไร

    1. วิธีนี้เหมาะเล่นหุ้นตอน side way กับตอนหุ้นขาลงเริ่มใช้ตอนหุ้นกลับตัว (เขียวอ่อน)

    2. วิธีนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวิธี DSM กับการเก็งกำไร โดยการใช้ประโยชน์จากกองหลังที่ทิ้งเอาไว้จากวิธี DSM

    3. วิธีนี้ต้องมีเงินลงทุนอีกหนึ่งก้อนเพื่อใช้เอาไว้เล่นเก็งกำไรอย่างเดียว ซึ่งไม่เกี่ยวกับบัญชีของวิธี DSM

    4. วิธีนี้ทำให้เราเป็นนักเก็งกำไรหรือนักพนัน ซึ่งใช้ประโยชน์จากการเป็นนักลงทุนวิธี DSM

    5. วิธีนี้สามารถประยุกต์เอามาใช้กับการเล่น Day Trade

    DSM Double Theory ถือว่าเป็นการผสมผสานระหว่าง DSM กับ การเก็งกำไร ต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวประกอบในการเก็งกำไรอีกด้วย ดังนั้นเล่าให้ฟังเบื้องต้นว่ามีวิธีการเล่นหุ้นแบบนี้อยู่ แต่จะไม่ขอลงรายละเอียดในวิธีการ เพราะไม่ต้องการให้ชาว DSMers เกิดความสับสนในระหว่างการลงทุน และต้องการให้มุ่งมั่นเป็นนักลงทุนเพื่อสร้างรายได้จากกระแสเงินสดแฝงกับเงินปันผล เพื่อร่วมกันเดินทางไปสู่อิสรภาพทางการเงิน เวลา จิตใจ พร้อมๆ กันของสมาชิกคลับเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ของห้องสินธร จาก www.pantip.com 


    จากคุณ : จูล่ง - สุภาพบุรุษจากเสียงสาน  - [ 31 พ.ค. 48 16:25:55 ]

29. DSM (29) – วิธีเล่นหุ้นDSM Music Theory คืออะไร





     ความคิดเห็นที่ 30 

    DSM (29) – วิธีเล่นหุ้นDSM Music Theory คืออะไร


    กฎธรรมชาติของตลาดหุ้นนำไปสู่การเล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรี (ซึ่งมีเสียงสูง เสียงต่ำ)
    1. หุ้นตัวนึ่งไม่มีวันขึ้นตลอดไปหรือลงตลอดไป
    2.ในวันที่ตลาดขึ้นหุ้นไม่ได้ขึ้นทุกตัว และวันในวันที่ตลาดลงหุ้นไม่ได้ลงทุกตัวเช่นกัน

    นำไปสู่การเล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรี ซึ่งมีเสียงสูง เสียงต่ำหรือราคาสูง ราคาต่ำ และมีหุ้นที่เขียว หุ้นที่แดง ของแต่ละวัน

    มีหลักการง่ายดังต่อไปนี้

    1. เลือกหุ้นที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการเป็นจำนวน 30 ตัว ตามที่เราต้องการแต่ยังไม่ต้องซื้อที่เดียวหมดนี้แต่ให้จับตามองไว้ว่าหุ้นแต่ละตัวคือโน้ตดนตรีของเรานั้นเอง

    2. ให้เริ่มจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งก่อนหรืออาจหลายตัวก็ได้แต่เริ่มแรกควรตัวเดียวดีกว่าและควบคุมง่ายกว่าหลายตัวพร้อมกัน แต่ถ้าเก่งแล้วไม่ว่ากันที่จะเริ่มหลายตัวพร้อมกัน

    3. หลังจากที่ขายหุ้นกองหลังออกไป แล้วสามารถเอาไปลงทุนหุ้นตัวใหม่ที่อยู่ในพอร์ตที่เราสนใจว่าตัวไหนกำลังเขียวกำลังขึ้น ก็ให้เอาเงินที่ขายกองหลังไปซื้อตัวใหม่ได้เลย มีท่านอาจารย์ Coyote บอกว่าก่อนขายกองหลังหุ้นตัวนึ่งได้มองว่าจะไปซื้อหุ้นอีกตัวไว้ในใจแล้ว อย่างนี้เรียกว่าระดับ DSM ระดับ Master อีกเช่นเคย
    แต่สำหรับมือใหม่หัดเริ่มต้น ควรรอว่าถ้ากองหลังซื้อคืนไม่ได้แล้วค่อยเอาซื้อเพิ่มการลงทุนหุ้นตัวใหม่เป็นการสร้างวงดนตรีโดยการเพิ่มโน้ตที่ละตัวอย่างนี้ไปเรื่อย แต่จะบอกว่าที่ DSM ระดับMaster สามารถขายกองหลังแล้วไปลงทุนหุ้นตัวใหม่ได้เลยนะ ต้องมีการใช้ฐานข้อมูลที่เคยบอกว่าสำคัญอย่างไร แต่คงยังไม่จำเป็นต้องบอกตอนนี้รอให้นักลงทุนสร้างฐานข้อมูลไปได้ สองปีก่อน แล้วตอนนี้นักลงทุน DSM ระดับ Basic จะเปลี่ยนมาเป็นระดับ Master อย่างอัตโนมัติเลยที่เดียวแต่นักลงทุน DSM อยากรู้ต้องทำการลงทุนตามแนวทางนี้ไปสักสองปี จะรู้เองโดยไม่ต้องพูดไม่ต้องบอก แค่มองตาก็รู้ไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ DSM แล้ว
    4.หุ้นเท่ากับหุ้น มองว่าหุ้นทุกตัวเป็นตัวเดียวกับหุ้นแต่ต่างกันที่ระดับราคาเท่านั้น ต้องใช้ข้อนี้ประกอบด้วย แล้วจะร้องว่า โถ โถ โถ มันเป็นอย่างนี้เอง

    ทำให้เราได้สร้างวงดนตรีพอร์ตหุ้น DSM Music Theory ขึ้นมาอีกวงหนึ่ง ซึ่งรับรองได้ว่าได้รับกระแสเงินสดแฝงมากกว่าแบบระดับBasic

    การทำตามสูตร3-0-2-8 และผสมผสานกับวิธีเล่นหุ้นDSM Music Theory ทำให้นักลงทุนหลุดพ้นจากภาวะตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็นตอนตลาดหุ้นขาขึ้นหรือว่าตลาดหุ้นขาลง และสามารถที่จะสร้างรายได้จากหุ้นแล้วได้รับกระแสเงินสดแฝงจากหุ้นทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี และตลอดไป ตราบใดที่วงดนตรีแห่งนี้ยังมีเสียงเพลงอยู่ตลอดเวลาและตลอดไป และถึงตอนนั้นจะเข้าใจประโยชน์ของฐานข้อมูลที่เก็บสะสมมาอย่างน้อยสองปีได้เป็นดีที่สุด และทำให้ทราบประโยคที่ว่า “ไม่ได้สร้างรายได้จากหุ้นในปัจจุบัน แต่เป็นการสร้างรายได้จากฐานข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา” เป็นไปอย่างอัตโนมัตินั้นเอง
    แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 48 12:59:30 

    จากคุณ : จูล่ง - สุภาพบุรุษจากเสียงสาน  - [ 31 พ.ค. 48 16:24:31 ]

28. DSM (28) – สูตร 3-0-2-8 คืออะไร

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3502498/I3502498.html
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3513263/I3513263.html




     ความคิดเห็นที่ 29 

    DSM (28) - สูตร 3-0-2-8 คืออะไร


    เป็นวิธีที่คิดขึ้นมากเปรียบเทียบกับกีฬาฟุตบอล(ซึ่งเป็นกีฬาโปรดของพี่เด่นศรี)ซึ่งได้แบ่งเป็นกองหลัง กองกลาง กองหน้าซึ่งแต่ละกองมีหน้าที่ต่างกันไป

    3-0-2-8 คืออะไร

    เดิมมี  1,000  หุ้น  ทิ้งกองหลังไว้  300
    แล้วอาศัย  700  หุ้นที่เหลือ  สร้าง 300  ที่ปล่อยไปให้กลับคืนมา(รวมทั้งหมด1,300 หุ้น )
    อาจมองเป็น 10,000 หุ้น ทิ้งกองหลัง 3,000 หุ้น และใช้7,000 หุ้นสร้างหุ้นขึ้นมาอีก 3,000 หุ้นเป็น 10,000 หุ้น(รวมทั้งหมด 13,000 หุ้น)แล้ว เอามาแบ่งเป็นกองกลาง 2,000 หุ้น กองหน้า 8,000 หุ้น ซึ่งวิธีนี้ต้องระดับ DSMระดับMaster ถึงจะทำได้อย่างง่ายดายก็คือพี่เด่นศรีใช้วิธีนี้อยู่


    หรือ เริ่มจากมีหุ้น 1,300 หุ้น แล้วแบ่งกองหลัง 300 หุ้น กองกลาง 200 หุ้น กองหน้า 800 หุ้น หรืออาจเริ่มจากมีหุ้น 13,000 หุ้น จะได้แบ่งเป็นกองหลัง 3,000 หุ้น กองกลาง 2,000หุ้น กองหน้า 8,000 หุ้น ซึ่งจะสามารถแบ่งขาย กองต่างๆ ได้อย่างละ 10% ได้ง่าย


    หรือ เริ่มจากหุ้น 10,000 หุ้น แบ่งกองหลัง 3,000 หุ้น กองกลาง 1,400 หุ้น และกองหน้า5, 600 หุ้น ถ้ามองเป็น% จะได้ดังต่อไปนี้ หุ้น 100% แบ่งกองหลัง 30% แล้ว เอาที่เหลือ 70% คิดให้เป็น 100% แล้วจึงนำมาแบ่ง เป็นกองกลาง 20% (14%จากเริ่มต้น) และกองหน้า 80% (56%จากเริ่มต้น) และก่อนทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกรอบ ที่ห่างกองหลังไปอีก 15 ช่อง ถือว่าขึ้นรอบใหม่


    หลังจากทราบว่า 3-0-2-8 แบ่งได้เป็นอย่างไรได้แล้วมาดูส่วนต่าง ๆ กองต่างๆทำงานกันอย่างไร
    3 คือ กองหลัง  ใช้เล่นทางลงอย่างเดียว ไม่โงหัวขึ้นมา จะไม่ซื้อกลับ

    0 คือ ช่วงราคาที่หุ้นขึ้นมาจาก  กองหลัง ซึ่งจะไม่ทำอะไรเลย  ถ้าราคายังอยู่ในช่วงนี้ 4 ช่องขึ้นจากกองหลังตัวสุดท้ายก็หมายความว่ายังอยู่ในช่วงที่ขายกองหลังไปนั้นเอง
    2 คือ กองกลาง หุ้นส่วนที่ใช้สำหรับตลาด side way จะปล่อยทีละนิดหน่อย (1%) โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  และปิดตลาดจะต้องซื้อคืน เพื่อเอาไว้เล่นเกม side wayที่อาจจะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น ส่วนนี้จะเล่นก็ได้ไม่เล่นก็ได้เช่นกัน
    8 คือ กองหน้า หุ้นส่วนที่จะไม่ปล่อยไป  จนกว่าจะเลยช่วง  side way(คือประมาณ 15 ช่อง จากหัวแถวของกองหลัง)
    นั่นคือ   มีทั้งเล่นหุ้นขึ้น  เล่นหุ้นลง  และเล่นหุ้นside way

    ขยายความส่วนของกองกลางที่อยู่ช่วง  side way อาจสร้างกระแสเงินสดแฝงได้น้อยแต่มีประโยชน์ในแง่ความสบายใจในการที่จะไม่รีบร้อนปล่อยหุ้น ไม่ว่าจะกำลังขึ้นหรือกำลังลง

    ดังนั้น1 % ที่ปล่อยไปเรื่อย ๆ  อย่าคิดว่าไม่สำคัญนะ เพราะมันทำให้ทุกอย่างอยู่ในแผนที่เราควบคุมได้อย่างสบายใจ  และมันยังสร้างกระแสเงินสดแฝงเป็นค่าเทรดหุ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ  ได้ด้วย

    แต่ถ้าต้องการแบ่งกองต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้น อาจให้สูตร 3-0-2-5 หรือ 3-0-3-4 หรือ 2-0-2-6 ก็ย่อมได้ ให้เลือกเอาว่าจะใช้วิธีไหนตามสะดวก ตามแต่ที่ถนัดของแต่ละท่านไป 


    จากคุณ : จูล่ง - สุภาพบุรุษจากเสียงสาน  - [ 31 พ.ค. 48 16:22:31 ]